info@neurofeedback-chiangmai.com     091 483 8063

 info@neurofeedback-chiangmai.com

091 483 8063

นิวโรฟีดแบค

นิวโรฟิตแบคคืออะไร

การเทรนสมองด้วยนิวโรฟีดแบค คือการตอบสนองทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากสาเหตุต่างๆ เช่น การบาดเจ็บทางศีรษะ ผลจาก ความเครียดในชีวิต และความหลากหลายของเงื่อนไขต่างๆซึ่งควบคุมโดยฟังก์ชั่นของคลื่นสมอง โดย การวัดปริมาณด้วยไฟฟ้า เชิงปริมาณ Electroencephalography (QEEG)เรียกว่า แผนที่สมอง Brain Mapping การเทรน
นิวโรฟีดแบคมีมานานกว่า 50 ปี แล้ว แต่ยังถือว่าเป็นศาสตร์ใหม่ในวงการนี้ ความหลากหลายของนักประดิษฐ์มืออาชีพจาก หลากหลายสาขาได้มารวมตัวกัน และอาศัยความเชี่ยวชาญของพวกเขา ได้มีส่วนร่วมเพื่อทําให้การเจริญเติบโตของศาสตร์นี้ทํา ให้ได้ผลที่ตามมาก็คือ เราสามารถทําแผนที่สมองได้ ทําให้เป็นจุดเริ่มต้นของนิวโรฟีดแบค กับความแตกต่างที่ไม่ซํ้าใคร

เพื่อให้เข้าใจอย่างแท้จริง กับ สาขานี้คือต้องศึกษาอย่างแท้จริงว่า นิวโรฟีดแบคทําอะไรกับสมอง ซึ่งจะช่วยแก้อาการต่างๆ และเป็นวิธีที่ดีที่สุด จากทฤษฎีที่มีการประชาสัมพันธ์ ดังนั้นผู้ปฏิบัติหน้าที่ควรมีความรับผิดชอบ และหลีกเลี่ยงการค้นหาอาการที่ผิดปกติ แต่เราจะแทนที่ด้วยการอธิบายวิธีการว่าเราจะช่วยอาการเหล่านี้ได้ด้วยการเทรนคลื่นสมอง และพิจารณาถึงไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต เช่น การนอน การควบคุมอาหาร เป็นต้น

ระยะเวลาของการเทรนของแต่ละคนจะแตกต่างกันออกไป การเทรนนิวโรฟีดแบคที่มีประสิทธิภาพโดยปกติ จะประมาณ 30-40 ครั้งขึ้นไป ซึ่งมาจากค่าเฉลี่ยมาตรฐาน ในแต่ละคนอาจจะน้อยกว่าหรือมากกว่า แต่จะได้ผลอย่างมากถ้าเทรนจนบรรลุจุดมุ่งหมายจากอาการที่เป็นเพื่อเสริมคุณภาพของการใช้ชีวิตนิวโรฟีดแบค คือ การแทรกแซงใช้ในการปรับปรุงรักษาอาการต่างๆของสมองและระบบสมองส่วนกลาง เช่น ความกลัว ซึมเศร้า นอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน สมาธิไม่ดี ปวดหัว สมาธิสั้น ออทิสซึ่ม และปัญหาอื่นๆ

ในประวัติศาสตร์นิวโรฟีดแบคมีมานานกว่า 50 ปี แล้ว โดยตอนเริ่มต้น ใช้สําหรับเทรนอาการลมชัก สมาธิสั้น และการติดสารเสพติด

นิวโรฟีดแบคเป็นวิธีที่ปลอดภัย ไม่มีการรุกรานสมอง และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

นิวโรฟีดแบค ควบคุมโดย FDA (FOOD AND DRUG ADMINISTRATION) อเมริกา

การจัดระเบียบสมอง

สมองถูกออกแบบมาให้ปรับเปลี่ยนในร่างกายและสภาพแวดล้อมของเราและการพัฒนาการที่ดีขึ้นตลอดเวลา

อย่างไรก็ตามมีเหตุผลหลายอย่างเช่นกรรมพันธ์ุและสภาพแวดล้อมทําให้สมองทำงานผิดปกติออกไปทําให้ฟังก์ชั่นการทํางานไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็นทําให้การทํางานสมองเริ่มไม่มีระเบียบ

ยกตัวอย่างสมองที่ทํางานผิดระเบียบ โดยเกิดจากการที่สมองจะถูกกระตุ้นมากเกินไปในขณะที่ควรจะนิ่งและนิ่งเกินไปในขณะที่สมองควรจะกระตือรือร้น

บางครั้งสมองจะทําการแก้ไขตัวเอง เมื่อฟังก์ชั่นการทํางานเริ่มไม่มีระเบียบให้กลับมาเป็นปกติได้

ดังนั้นก็เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่เราสามารถเทรนฟังก์ชั่นการทํางานของสมองให้กลับมาทำงานอย่างปกติ

Ideas after neurofeedback
EEG
Feedback Loop

นิวโรฟีดแบคทํางานอย่างไร

ก่อนจะทําการเทรนสมองจะเริ่มต้นด้วยการวัดผล qEEG (Quantitative Electroencephalogram)เพื่อ
ประเมินผลขั้นตอนนี้จะให้ผู้เชี่ยวชาญได้ใช้ลักษณะวัตถุประสงค์ทางวิทยาศาสตร์ว่ารูปแบบของคลื่นสมองของแต่ละบุคคลแตกต่างไปจากปกติหรือไม่

แบบแผนการประเมินผลนี้จะช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญสร้างโปรโตคอลขึ้นมาสําหรับเทรนนิวโรฟีดแบคโปรโตคอลจะถูกออกแบบเพื่อมาเทรนการทํางานของคลื่นสมองให้กลับมาเป็นปกติเมื่อแบบแผนของคลื่นสมองปกติสมองก็จะทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โปรโตคอลจะถูกทําขึ้นมาตามรายบุคคลเชื่อมต่อเข้ากับคอมพิวเตอร์โดยวางเซ็นเซอร์ในรูปแบบหมวกและคอมพิวเตอร์จะทําการอ่านกิจกรรมการทํางานของคลื่นสมอง

เซ็นเซอร์เหล่านี้ไม่รุกรานสมองไม่มีไฟฟ้าเข้าไปในสมองเซ็นเซอร์แค่อ่านค่ามาจากคลื่นสมองข้อมูลเกี่ยวกับคลื่นสมองจะส่งมาแสดงผลที่จอมอนิเตอร์ของผู้เชี่ยวชาญ

ซอฟต์แวร์จะตรวจจับการทํางานของคลื่นสมองโดยอัตโนมัติและป้อนข้อมูลกลับไปที่ซอฟต์แวร์ของผู้ที่ได้รับการเทรน ทําให้เกิดการทํางานของภาพยนตร์และเสียงซึ่งเป็นสัญญานเตือนว่าเริ่มกลับมาอยู่ในการควบคุมของระบบตราบใดที่คลื่นสมองของผู้ถูกเทรนกลับมาตามที่เราต้องการอย่างถูกต้องรางวัลที่ให้สมองจะปรากฏเป็นเสียงหรือภาพยนตร์ถ้าคลื่นสมองออกนอกลู่นอกทางจากแบบแผนที่เรากําหนดไว้ภาพจากภาพยนต์จะหายไปและเสียงก็จะหายไปด้วยซึ่งจริงๆแล้ว
สมองของผู้ถูกเทรนเป็นตัวควบคุมภาพและเสียงโดยสมองเรียนรู้ที่จะจัดระเบียบด้วยตัวเอง

ในบางกรณีอาจจะทําการเทรนด้วยการดูภาพยนตร์อย่างเดียวในกรณีแบบนี้จะถูกควบคุมด้วยความสามารถในการจัดระเบียบของคลื่นสมองภาพยนต์จะชัดเจนขึ้นเมื่อสมองกลับสู่สภาวะปกติและภาพจะกลายเป็นสีดําเมื่อสมองทํางานไม่ปกติออกจากแบบแผนที่เรากําหนดไว้

โดยธรรมชาติของสมองจะถูกออกแบบมาเพื่อดูภาพยนต์อย่างชัดเจนทําให้วงจรของโครงสร้างสมองเหล่านั้นปรับการทํางานของคลื่นสมองและจะทําให้กลับมาเห็นภาพเมื่อวงจรการทํางานของสมองเริ่มเปลี่ยนเป็นวงจรใหม่ผู้ถูกเทรนก็จะเริ่มใช้วงจรการทํางานใหม่ของสมองในชีวิตประจําวันต่อไป

ที่ศูนย์นิวโรฟีดแบคเชียงใหม่ เราใช้ระบบ EEG/QEEG แบบ 19 แชนเนล ที่เรียกว่า swLORETA (การตรวจเอกซเรย์แม่เหล็กไฟฟ้าสมองความละเอียดต่ำแบบถ่วงน้ำหนักมาตรฐาน) swLORETA ใช้แบบจำลอง 3 มิติของสมองเพื่อให้ข้อมูลที่ละเอียดและเฉพาะเจาะจงมากขึ้นเกี่ยวกับการทำงานของสมอง ถือว่าเหนือกว่า

การฝึกนิวโรฟีดแบคแบบ 2 หรือ 4 แชนเนลแบบดั้งเดิม เนื่องจากช่วยให้การวัดการทำงานของสมองในบางพื้นที่แม่นยำและแม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ swLORETA ยังสามารถนำมาใช้เพื่อกำหนดเป้าหมายไปยังพื้นที่เฉพาะของสมองที่อาจเกี่ยวข้องกับอาการบางอย่าง ในขณะที่เทคนิค Neurofeedback แบบดั้งเดิมนั้นมีลักษณะธรรมดาทั่วไปมากกว่า

Z Scored Absolute Power Maps

EEG (electroencephalograph)

EEG คือการอ่านค่าของคลื่นสมองในรูปแบบเซ็นเซอร์ไฟฟ้าวางบนศีรษะเซ็นเซอร์ที่วางบนศีรษะใช้สําหรับตรวจจับ
การทํางานของคลื่นสมองเพื่อใช้ในการอ่านค่าสําหรับวิเคราะห์สมองเท่านั้น

การทํา EEG จะไม่รู้สึกเจ็บและปลอดภัยจะเหมือนกันกับหูฟังที่สําหรับใช้ฟังการเต้นของหัวใจ

EEG and Map

QEEG (Quantitative electroencephalograph) – การทําแผนที่สมอง

การทําแผนที่สมองได้เกิดขึ้นมาเมื่อ30ปีที่ผ่านมาเพื่อทําการวินิจฉัยการทํางานของสมองการทําแผนที่สมองคือการอ่านค่าเพื่อการวิเคราะห์เป็นข้อมูลที่มีความจําเป็นอย่างมากเพื่อช่วยในการแยกแยะจุดต่างๆของสมองว่า
แต่ละจุดทํางานมากไปหรือทํางานน้อยไปสําหรับช่วยเป็นแนวทางในการเทรนสมองจะทําให้เรามีผลลัพธ์ก่อนทําและหลังทําเพื่อที่จะดูการเปลี่ยนแปลงและความคืบหน้าของการเทรนสมอง

การที่เรามองเห็นได้ว่าจุดไหนของสมองที่ทํางานไม่ปกติเราจะสามารถทํานายได้ว่าเป็นอาการชนิดไหนจะทําให้ผู้ถูกเทรนได้มีประสบการณ์และผลลัพธ์ที่ดีและการทําแผนที่สมองจะทําให้เราทราบอย่างแน่นอนว่าตรงจุดไหนที่เราควรจะเทรนและมีประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อที่เราสามารถจับค่าอาการที่เป็นกับจุดของสมองที่มีปัญหา (10-20 System and Brodmann Areas)เพื่อดูค่า Z scores ที่ไม่ปกติ

QEEG สามารถแยกแยะได้ไม่เฉพาะคลื่นสมองเท่านั้นแต่ยังรู้ในส่วนอื่นๆด้วยเช่นความผิดปกติของ Z-scores
พลังงานที่สมบูรณ์ พลังงานที่สัมพันธ์กัน คลื่นส่งของสมอง การสื่อสารในสมอง และ ระยะทางของคลื่นสมอง

ทั้งหมดนี้เป็นแบบแผนที่สําคัญมากและเกี่ยวข้องกับการทํางานของฟังก์ชั่นสมองในด้านจิตใจขณะเทรนนิวโรฟีดแบค การประเมินผลจะเป็นเวลาจริงขณะนั้นและตรวจสอบได้ว่าอย่างไหนปกติและไม่ปกติ

The QEEG แผนที่สมองเราจะสามารมองเห็นเป็น 2-D and 3-Dเพื่อที่จะทําการซ่อมแซมกิจกรรมของสมองให้
กลับมาอยู่ในความควบคุมและให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและอาการที่เป็น

เราใช้ซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยและลํ้าหน้าที่สุด (Neuroguide and LORETA Neurometric QEEG Brain Mapping) สําหรับการเทรนทั้งหมดของเราและกลับไปดูการเทรนนิวโรฟีดแบคย้อนหลังได้

Standard Distribution Curve

LORETA การวิเคราะห์สมองด้วยแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความละเอียดตํ่ามาก

ใช้อุปกรณ์ที่ได้รับการรับรองแล้วว่าถูกต้องตามแบบแผนจากการวิจัยทางวิชาการ LORETA ทําให้เราได้แยกแยะออกได้ในที่สุดว่าโครงสร้างและแบบแผนการทํางานของสมองที่ลึกลงไปโดยการใช้เซ็นเซอร์ในรูปแบบหมวกทําให้เราแยกออกและสามารถเทรนโครงสร้างของสมองเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนซึ่งเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในการทําแผนที่สมองและ นิวโรฟีดแบค

ฐานข้อมูล Z-SCORE

เราจะทําการอ่านค่าของคลื่นสมองและเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลอ้างอิงที่ได้รับการรับรองแล้ว จาก FDA อเมริกา (Z-SCORE) เราได้ใช้ข้อมูลนี้ในการช่วยกําหนดว่าจุดไหนที่เราต้องการเทรนเพื่อให้ตรงตามจุดมุ่งหมายที่เราตั้งไว้

นิวโรฟีดแบคทําอะไรได้บ้าง

ช่วยปรับฟังก์ชั่นการทํางานของสมองโดยความหมายคือนิวโรฟีดแบคสามารถบรรเทาอาการที่มีปัญหาทางร่างกายและปัญหาด้านอารมณ์แบบแผนการนอนทําให้ปรับตัวดีขึ้นและยังช่วยทําให้เกิดความสนุกสนานร่าเริงระหว่างวัน
นิวโรฟีดแบคสามารถลดอาการวิตกกังวล และความกลัว อาการซึมเศร้า และอาการอื่นๆ เช่น ไมเกรน อาการปวดตามร่างกาย ไฮเปอร์แอคทีพ ปัญหาเรื่องสมาธิ อาการซึมเศร้าหลังคลอด และ อารมณ์แปรปรวน

การเทรนนิวโรฟีดแบคยังช่วยอาการบางอย่างรวมถึงอาการที่สมองเกิดการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากอุบัติเหต อาการชัก ออทิสซึ่ม และอาการหลอดเลือดในสมอง ตัวอย่างเคสเหล่านี้อาจจะไม่สามารถกําจัดสาเหตุของปัญหาได้ทั้งหมดอย่างไรก็ตามเราสามารถช่วยให้ฟังก์ชั่นการทํางานของสมองกลับมาเป็นปกติแม้จะเกิดจากการบาดเจ็บก็ตาม

ยังมีเทคนิคอีกอย่างที่ดีมากคือถ้าเราต้องการให้สมองเรียนรู้อะไรสมองสามารถเรียนและปรับตัวได้การเทรนนิวโรฟีดแบค สามารถช่วยได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ในความเป็นจริงแล้วธรรมชาติของเด็กที่กําลังเจริญเติบโตมีความยืดหยุ่นโดยธรรมชาติมากกว่าผู้ใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเทรนสมองในช่วงอายุ 2-12 ปีจะมีประสิทธิภาพอย่างมากแต่การเทรนสมองสามารถเทรนได้ตั้งแต่อายุ 2-84 ปี

มีความกระตือรือร้น, ความสามารถในการสนใจสิ่งต่างๆลดลง (ADD / ADHD), มีอารมณ์รุนแรง, และมักมีปัญหาในการทำกิจวัตรประจำวัน จะพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ และยังสามารถลดพัฒนาการลงได้เรื่อยๆ นอกจากนี้ เมื่อสมองได้เรียนรู้วิธีการทำงานแบบเดิมไปตลอดแล้ว ผลลัพธ์มักจะยั่งยืน จึงทำให้การกลับไปสู่สภาพเดิมนั้นเป็นไปได้ยาก

เนื่องจากการฝึกฝนด้วยนิวโรฟีดแบคช่วยให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ การประยุกต์ใช้งานของมันจึงไม่จำกัดเฉพาะในการฟื้นฟูจากการบาดเจ็บหรือการรับมือกับปัญหา
การฝึกฝนด้วยนิวโรฟีดแบคยังมีคุณค่าในการนำสมองกลับสู่ทางที่ถูกต้องหลังจากความเครียดในชีวิตประจำวัน หรือเพื่อส่งเสริมการทำงานอย่างเต็มที่ เช่น สำหรับนักกีฬามืออาชีพหรือผู้บริหารบริษั

Solutions

ทําไมต้องนิวโรฟีดแบค

นิวโรฟีดแบคคือเทคนิคการเทรนสมองเพื่อจัดระเบียบของสมองที่สัมพันธ์กับร่างกายและจิตใจเมื่อไรที่สมองทํางานไม่ดีอย่างที่ควรเป็นจะมีผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจในทํานองเดียวกันความรู้ความเข้าใจทางอารมณ์หรือปัญหาทางร่างกายและเราสามารถย้อนกลับไปค้นหาก็จะรู้ว่าเกิดจากฟังก์ชั่นการทํางานของคลื่นสมองที่ผิดปกติการเทรนสมองเพื่อเพิ่มศักยภาพของสมองเป็นการช่วยดูแลตัวเราเองเหมือนกับการออกกําลังกายเป็นประจํา

นิวโรฟีดแบคไม่มีการรุกรานสมองอย่างแน่นอนแทนที่จะพยายามแก้ปัญหาจากภายนอกจะช่วยให้สมองมีรากฐานที่แข็งแรงและรับมือกับปัญหาต่างๆได้เป็นอย่างดี

  • ผลของการเทรนสมองจะได้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
  • ผลลัพธ์ของการเทรนจะยั่งยืนและถาวรจนถึงอนาคตข้างหน้า
  • ไม่มีอันตรายและไม่มีผลข้างเคียง
  • ขั้นตอนกระบวนการเทรนไม่เจ็บ
  • นิวโรฟีดแบคสามารถทําร่วมกันกับการฝึกอย่างอื่นได้
  • นิวโรฟีดแบคได้ทําการศึกษามาอย่างกว้างขวางและนานมาแล้ว
Electrocap
Scroll to Top